โทรศัพท์มือถือ

ภัยเงียบ ของคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา

ทุกวันนี้ ประเทศเราได้ชื่อว่าเป็นสังคมก้มหน้าก้มตา ก้มจนไม่สนใจคนรอบข้างกันเลยทีเดียวเชียว ลองสังเกตจากการขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสดูจะรู้ว่าก้มหน้าก้มตาจริงๆ ซึ่งทางเราขอออกตัวก่อนเลยว่าทางเราก็เป็น เพราะไม่รู้จะนั่งหรือยืนเฉยๆ ไปเพื่ออะไร ก็จะรู้สึกทำตัวไม่ถูกกันเปล่าๆ ดังนั้น สังคมก้มหน้าทุกวันนี้มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ แต่ถึงกระนั้น การที่เราใช้ชีวิตแบบสังคมก้มหน้า นั่นก็ทำให้เราทำลายสุขภาพของเราไปแบบไม่รู้ตัวเช่นกัน ซึ่งบทความนี้เราได้รวบรวมภัยเงียบที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลามาฝาก แต่ภัยเงียบที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้ จะมีอะไรบ้างนั้น ต้องตามมาหาคำตอบนั้นพร้อมๆ กันที่บทความนี้เลย

ภัยเงียบ ของคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา

ภัยเงียบ ของคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา มีทั้งหมด 3 ด้วยกัน ดังต่อไปนี้

  • ผลเสียที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน คือ รบกวนการนอนหลับ แสงจากจอมือถือหรือแท็บเล็ตที่สว่างๆ ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมน “เมลาโทนิน” ที่ช่วยควบคุมการนอนหลับ เนื่องจากการปล่อยฮอร์โมนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแสงสว่างเป็นสำคัญ การเล่นมือถือก่อนนอนจึงส่งผลต่อการนอนหลับไปด้วย
  • ผลเสียที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน คือ เกิดความเครียด การใช้สมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเราต้องพร้อมที่จะรับโทรศัพท์ ตอบข้อความต่างๆ ที่แจ้งเตือนเข้ามาจากช่องทางต่างๆ ทั้งไลน์ อีเมล และโซเชียลมีเดียตลอดเวลาด้วยเช่นกัน จึงทำให้เกิดความเครียดได้โดยไม่รู้ตัว
  • ผลเสียที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน คือ ทำลายจอประสาทตา แสงสีฟ้าจากจอสมาร์ทโฟนสามารถทำลายจอประสาทตา (เรติน่า) จนนำไปสู่โรคจอประสาทตาเสื่อมได้  ซึ่งสูตรที่ใช้กันเพื่อดูแลสุขภาพตา คือ 20-20-20  โดยมองจอแค่ 20 นาที จากนั้นพักสายตามองที่อื่น 20 วินาที  โดยมองสิ่งที่อยู่ไกลจากตัวเอง 20 ฟุต เพื่อคลายความล้าจากการใช้สายตา

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือ ผลเสียที่เกิดจากการชอบเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานนั่นเอง ดังนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆ ก็ควรละสายตาจากจอมือถือไปหาอะไรอย่างอื่นทำบ้าง อย่างเช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือทำกิจกรรมนอกบ้านกันไปเลย เช่น ออกกำลังกาย เดินห้างช้อปปิ้ง ดูหนัง ฯลฯ เอาให้ห่างไกลจากจอเหล่านี้จะดีที่สุด ซึ่งทางผู้เขียนเองก็พยายามปรับตัวให้ห่างไกลจากจอมือถืออยู่เช่นกัน เอาเป็นว่า เรามาสู้ไปด้วยกันนะ